ค้นหา
ภาษาไทย
สินค้าตามประเภท
    เมนู ปิด
    RSS

    Blog posts of '2019' 'พฤศจิกายน'

    กล้องวงจรปิดสัญญาณ อนาล็อก กับ ดิจิตอล แตกต่างกันอย่างไร?
    ความคิดเห็น (2) กล้องวงจรปิดสัญญาณ อนาล็อก กับ ดิจิตอล แตกต่างกันอย่างไร?

    ความเป็นมาของกล้องวงจรปิด

         กล้องวงจรปิด หรือที่เรียกสั้นๆว่า CCTV ซึ่งย่อมาจาก closed circuit television หรือจะเรียกแบบเป็นทางการหน่อยก็จะใช้เรียกว่า "ระบบโทรทัศน์วงจรปิด" นั่นเอง ระบบกล้องวงจรปิดถูกพัฒนาให้เป็นอุปกรณ์เฝ้าระวังและเพิ่มศักยภาพในการรักษาความปลอดภัยให้แก่ ธนาคาร สถานที่ราชการ และบัษัทห้างร้านต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา สืบเนื่องจากอาชญากรรมหลายต่อหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลก 

     

    ประเภทของกล้องวงจรปิด มี 2ประเภท

    1. กล้องวงจรปิดแบบอนาล็อก (Analog Camera)


    2. กล้องวงจรปิดแบบไอพี คาเมร่า (Internet Protocal Camera)

     

    ความแตกต่างระหว่างสัญญาณ Analog และ Digital

    สัญญาณอนาล็อก (Analog Signal) หมายถึง สัญญาณที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือการเคลื่อนที่ของ ข้อมูลแบบต่อเนื่อง (Continuouse Data) โดยสัญญาณจะมีขนาดไม่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลงขนาดของ สัญญาณแบบค่อยเป็นค่อยไป และจะมีลักษณะเป็นเส้นโค้งต่อเนื่องกันไป ยกตัวอย่างเช่น การที่เราโยน ก้อนหินลงน้ำ บนผิวน้ำเราจะเห็นว่า น้ำจะมีการเคลื่อนตัวเป็นคลื่น กระจายออกเป็นวงกลมรอบจุดที่หินจม ระดับคลื่นจะสังเกตุได้ว่าเริ่มจากจุดกลางแล้วขึ้นสูง แล้วกลับมาที่จุดกลางแล้วลงต่ำ แล้วกลับมาที่จุดกลาง เป็นลักษณะนี้ติดต่อกันไป แต่ละครั้งของวงรอบเราเรียกว่า 1 Cycle โดยการเคลื่อนที่ของสัญญาณ อนาล็อก (Analog Signal) นี้ จะมีระยะทางและเวลาเป็นตัวกำหนดด้วย จึงทำให้มีผลต่อการส่งสัญญาณ อนาล็อก (Analog Signal) ส่วนใหญ่จึงสามารถถูกรบกวนได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นจากสิ่งแวดล้อมภายนอก หรือจากตัวของระบบอุปกรณ์เอง เพราะสัญญาณที่ส่งออกไปนั้นจะเป็นสัญญาณจริง และเมื่อถูกรบกวนก็อาจ จะทำให้คลื่นสัญญาณมีการเปลี่ยนไป จึงทำให้ผู้รับหรือปลายทางนั้นมีการแปลความหมายผิดพลาดได้ เช่น สัญญาณเสียง เป็นต้น

     

    สัญญาณดิจิตอล (Digital Signal) หมายถึง สัญญาณที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Data) ที่มีขนาดแน่นอนซึ่งขนาดดังกล่าวอาจกระโดดไปมาระหว่างค่าสองค่า คือ สัญญาณ ระดับสูงสุดและสัญญาณระดับต่ำสุด ซึ่งสัญญาณดิจิตอลนี้เป็นสัญญาณที่คอมพิวเตอร์ใช้ในการทำงานและ ติดต่อสื่อสารกันหรือกล่าวได้ว่าสัญญาณดิจิตอลก็คือการที่เรานำเอาสัญญาณ Analog (อนาล็อก) มา แปลงให้อยู่ในรูปแบบของตัวเลข (0,1) โดยการแปลงสัญญาณนี้ต้องอาศัยวงจรประเภทหน่ึงที่เรียกว่า A To D (A/D) หรือ Analog To Digital converter โดยวงจร A/D หลังจากนั้น ก็จะได้สัญญาณ Digital ออกมาเป็นสัญญาณในรูปแบบของตัวเลข (0,1) นั่นเอง โดยจะเป็นสัญญาณที่เกิดจากแรงดันของ ไฟฟ้าจะมีอยู่ 2 ค่าคือ 0 = Min และ 1 = Max โดยค่า Min จะมีแรงดันไฟฟ้าอินพุต อยู่ที่ประมาน 0 โวลต์ และ Max จะมีแรงดันไฟฟ้าอินพุต อยู่ที่ประมาน 5 โวลต์ ดังนั้นสัญญาณชนิดนี้มนุษย์เรา จึงไม่สามารถสัมผัสหรือรับรู้ได้เลย และเมื่อได้เป็นสัญญาณ Digital ออกมาแล้ว จึงทำการส่งข้อมูลไปยัง ผู้รับหรือปลายทาง ทางฝั่งผู้รับหรือปลายทางจะต้องมีตัวแปลงสัญญาณจาก Digital ให้กลับเป็น Analog อีกครั้ง โดยผ่านตัวแปลง คือ D To A (D/A) หรือ Digital To Analog converter

    เปรียบเทียบสัญญาณ Analog และ Digital

    เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสัญญาณ Analog และ สัญญาณ Digital สรุปได้ว่าสัญญาณ Digital เปรียบเสมือนการเปลี่ยนรูปแบบจากสัญญาณ Analog ที่เป็นสัญญาณ คลื่นให้ เป็นสัญญาณไฟฟ้า

     

    ความแตกต่างของระบบระบบกล้องวงจรปิด CCTV ระหว่าง Analog, IP, และ HD-SDI

    ทุกวันนี้ระบบโทรทัศน์วงจรปิด หรือเรียกกันติดปากว่าระบบกล้องวงจรปิด CCTV ได้ถูกนำมาใช้ด้วย กันหลายระบบ แบ่งเป็น 3 ประเภท

    1. ระบบ Analog เป็นระบบที่ใช้ตั้งแต่มีการคิดค้นระบบกล้องวงจรปิด CCTV ระบบ Analog เป็นระบบที่ใช้สาย สัญญาณ (Coax cable) เช่น สาย RG6 RG11

    ข้อดี

    • ต้นทุน : ระบบอนาล๊อกมีต้นทุนที่ถูกกว่าระบบ IP
    • ยืดหยุ่นกว่า : เนื่องจากว่ามีกล้องหลากหลายประเภทให้เลือกใช้ ตั้งแต่ระบบเล็กไปถึงระบบ ใหญ่ที่มีอินฟราเรดตั้งตั้งมาพร้อมกับกล้องทำให้มีตัวเลือกสำหรับการใช้งานประเภทต่าง ๆ ได้อย่าง เหมาะสม
    • ความเข้ากันได้ : ในระบบอนาล๊อก มีเพียงระบบ PAL และ NTSC เท่านั้น ทำให้สามารถเลือก กล้องต่างยี่ห้อมารวมในระบบเดียวกันได้
    • ปัญหาน้อย : เนื่องจากว่าระบบอนาล็อกถูกพัฒนามามากจนแทบจะเรียกได้ว่า อยู่ในช่วง สุดท้าย ของเทคโนโลยีของระบบอนาล๊อกแล้ว ทำให้ปัญหาต่างๆถูกแก้ไขไปจนหมด ปัญหาต่าง ๆ ของระบบ อนาล็อก จึงเกิดขึ้นน้อยมาก
    • ช่างที่ทำการติดตั้งไม่ต้องมีความรู้ด้านเน็ตเวิร์ก ก็สามารถติดตั้งได้

    ข้อเสีย

    • Function : ระบบอนาล๊อกไม่มีฟังชั่นเช่นเดียวกับที่กล้อง IP มี เว้นแต่กล้องอนาล็อกที่มี ราคา สูงมาก ๆ เท่านั้น
    • ความปลอดภัย : ระบบอนาล็อกมีความปลอดภัยน้อย เนื่องจากว่าไม่มีการเข้ารหัสของข้อมูล ไม่ว่าใครก็ สามารถดูภาพจากกล้องวงจรปิดได้
    • ระยะทาง : ไม่สามารถรองรับการส่งสัญญานในระยะไกล ๆ ได้
    • ความละเอียดของภาพที่ได้ไม่มาก เนื่องจากระบบ Analog ไม่สามารถส่งภาพที่มีความ ละเอียดสูงได้ เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านสาย

     

    2. ระบบ IP (Network) เป็นระบบกล้องวงจรปิด CCTV ที่นำมาใช้แทนระบบ Analog ซึ่งระบบ IP จะส่งสัญญาณในรูปแบบ Digital ทำให้ภาพที่ได้มีความคมชัด ไม่เกิดการสูญหายของสัญญาณ คือถ้ามีการเดินระบบผิดพลาด ภาพก็จะไม่แสดงเลย แต่ถ้าเดินระบบได้ถูกต้องภาพจะมีความชัดตามคุณภาพของกล้องที่ส่งภาพมา ซึ่งต่าง กับระบบ Analog ที่ภาพจะมีทั้ง ภาพชัด ภาพไม่ชัด และภาพหาย สายสัญญาณที่ใช้ในระบบ Digital ส่วนมากจะเป็นสาย Cat5

    ข้อดี

    • Wireless : สนับสนุนการทำงานผ่านระบบไร้สายมากกว่า Analog
    • ระบบเครือข่ายเดิม : กล้อง IP สามารถใช้ร่วมกับระบบ LAN ที่มีอยู่แล้วได้โดยไม่ต้องเดิน สายใหม่
    • เพิ่มกล้องได้ง่าย : หากต้องการเพิ่มกล้องสามารถทำได้ง่าย โดยไม่ติดข้อจำกัดในส่วนของ Channel ที่จำกัดของ DVR อีกต่อไป
    • ประสิทธิภาพสูง : เนื่องจากกล้อง IP แต่ละตัวทำงานแยกอิสระ ไม่ได้ส่งภาพไปประมวลผล ที่ตัวกล้อง ทำให้ได้ภาพที่มีคุณภาพ "เต็มที่" ไม่อั้นที่ DVR อีกต่อไป แต่ละตัวมี IP ของตัวเอง ทำให้การตั้งค่ากล้องแต่ละตัวทำได้ง่าย
    • ความละเอียด : เนื่องจากเป็นระบบ Digital ทำให้สามารถข้ามข้อจำกัดที่ระบบ Analog ไม่ สามารถทำได้นั่นคือ ข้ามจาก 576 TVL ไปเป็น 1080p หรือ "Hidefinition" ทำให้ได้ภาพที่มี ความละเอียด "สูงมาก" เปรียบเสมือนกับระบบ Analog คือการที่เราดูหนังจาก VDO ธรรมดา แต่ ระบบ Digital เทียบได้กับการดูหนังแบบ Blue ray ได้เลยทีเดียว
    • POE : บางรุ่นสามารถส่งสายไฟไปพร้อมกับสาย LAN ได้ โดยไม่ต้องเดินสายไฟแยกเพิ่ม ออกไปอีกต่างหาก
    • ความปลอดภัยสูงมาก : เนื่องจากการทำงานบนของระบบ Digial สามารถที่จะ Backup ข้อมูลบน Server ได้ตลอดเวลา และ Hacker ไม่สามารถ "ดัก"เอาข้อมูลระหว่างทางได้

    ข้อเสีย

    • การส่งผ่านข้อมูล : เนื่องจากใช้ Brandwidth สูงมาก ตั้งแต่ 500 kbps ถึง 1.5 Mbps ทำให้ระบบทำงานหนัก
    • ต้นทุน : ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นกว่าระบบAnalog ไม่ว่าจะเป็นค่าอุปกรณ์, การดูแลรักษา แต่ก็มี แนวโน้มที่ลดลงจากเมื่อก่อนมาก
    • ใช้ข้ามยี่ห้อไม่ได้ : เนื่องจากระบบถูกพัฒนาจากหลายรายทำให้มีมากกว่า 1 มาตราฐาน จึงไม่สามารถใช้กล้องที่มี Protocal ต่างกันเพื่อติดต่อกันได้ หรือให้เข้าใจง่ายๆคือ ข้ามยี่ห้อไม่ได้ นั่นเอง
    • ผู้ติดตั้งจะต้องมีความรู้ทางด้าน Network รวมไปถึง ความรู้ของผู้ที่บริหารจัดการข้อมูล

     

    3. ระบบ HD-SDI กล้องวงจรปิด CCTV แบบ SDI ย่อมาจาก Serial Digital Interface เป็นระบบ Digital ที่ใช้สาย สัญญาณแบบ Coax หรือ แบบเดิมที่เป็น RG6 เป็นตัวนำสัญญาณ ระบบนี้สามารถส่งสัญญาณภาพโดย ไม่จำเป็นต้องบีบอัดสัญญาณ เพราะระบบรองรับการส่งสัญญาณที่มี ความละเอียดมากกว่าความละเอียด แบบธรรมดาถึง 5 เท่า ทำให้สัญญาณภาพมีความคมชัดในระดับ HD

    ข้อดี

    • สามารถใช้สายสัญญาณเดิมของระบบ Analog ได้ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการ Upgrade
    • ภาพมีความคมชัดสูง
    • ผู้ติดตั้ง ไม่จำเป็นต้องมีความชำนาญด้านระบบเน็ตเวิร์ค

    ข้อเสีย

    • ราคาของกล้องและเครื่องบันทึก ยังมีราคาสูงอยู่ แต่ก็มีแนวโน้มลดลง
    • ตัวกล้องยังมีให้เลือกน้อย ผู้ผลิตกล้องวงจรปิด ยังไม่ได้ทำการผลิตระบบนี้ในจำนวนมาก

    เปรียบเทียบความแตกต่าง

    เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างภาพที่ได้จาก กล้องวงจรปิด CCTV ระบบ Analog และ ระบบ Digital

    เปรียบเทียบความละเอียด

    ตารางเปรียบเทียบความละเอียดของภาพในช่วงที่ต่างกัน

     

     ขอขอบคุณบทความดีๆจาก www.next2cctv.com

    10 ขั้นตอนเลือกซื้อเมนบอร์ดให้ปัง ต้องดูอะไรบ้าง??
    ความคิดเห็น (2) 10 ขั้นตอนเลือกซื้อเมนบอร์ดให้ปัง ต้องดูอะไรบ้าง??

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมอยากทำมานาน และมีคนถามเข้ามาบ่อยมาก ถึงวิธีการในการเลือกเมนบอร์ด เอาล่ะ วันนี้ผมจะขอนำเสนอวิธีการเลือกเมนบอร์ด ให้เพื่อน ๆ เข้าใจในสเปคพื้นฐานที่ต้องรู้ จะได้ซื้อกันได้อย่างสบายใจ

     

    1. หันมองที่ซีพียู แล้วมาดูชิปเซต

    ชิปเซต (Chipset) และซ็อกเกต (Socket) เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องรู้ก่อนเป็นอันดับแรก ชิปเซตจะเป็นส่วนที่ซีพียูในสื่อสารกับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่อยู่บนเมนบอร์ด ส่วนซ็อกเกตจะเป็นช่องสำหรับใส่ซีพียู ซึ่งขาหรือช่องบนซ็อกเกตจะต้องเท่ากับที่มีบนซีพียูไม่อย่างนั้นพังแน่นอน

     

     

    2. เลือก Form factor

     

    กว่าจะจบเรื่องของชิปเซตกับซ็อกเกต เรามาต่อกันที่เรื่องของขนาดกันบ้าง สำหรับ Form factor เมนบอร์ดที่มีให้เลือกในปัจจุบัน จะประกอบไปด้วย ATX, Micro-ATX และ Mini-ATX ถามว่าสำคัญไหม สำคัญสิ สำคัญมากด้วย!!

     

    จงจำไว้ว่า บอร์ดยิ่งเล็ก พอร์ตที่ให้มายิ่งน้อย คือปกติแล้วตามสเปคของชิปเซต เมนบอร์ดทุกรุ่นจะให้ PCIe lane มาเพียงพออยู่แล้วล่ะ แต่เรื่องของพอร์ตมันไม่ได้มีกำหนดไง ว่าชิปเซตนี้ จะต้องมีพอร์ต USB กี่พอร์ต มันก็เลยทำให้เกิดข้อจำกัดทางด้านพื้นที่ในบอร์ดขนาดเล็ก

     

     

    ดังนั้น ในบอร์ด Mini-ATX ก็มีแนวโน้มที่จะได้พอร์ตน้อยกว่า Micro-ATX และ ATX นอกจากนี้เราอาจจะเกิดข้อจำกัดในการใส่อุปกรณ์ อย่างเช่น ใส่แรมได้แค่ 2 สล็อตในบอร์ด Mini, ใส่การ์ดจอสามพัดลมแล้วเอียงในบอร์ด Micro-ATX, ใส่ซิ้งค์แล้วติดแรมในบอร์ด Mini อะไรแบบนี้

     

    จะเลือกฟอร์มแบบไหนก็ต้องดูที่เคส ถ้าสเปคของเคสเราบอกว่า สามารถใส่ได้ทุกขนาด อันนี้เราก็สบายเลือกแบบไหนก็ได้ แต่ถ้าเคสเล็ก ๆ เราก็จำเป็นที่จะต้องเลือกบอร์ดขนาดเล็กลงมา

     

     

    3. แรมและจำนวนสล็อตแรม

     

    อีกหนึ่งเรื่องที่ผมโดนถามเข้ามาบ่อยเหมือนกัน คือ เรื่องของความเข้ากันได้กับบัสแรม ผมจะบอกทริคในการอ่านเรื่องของบัสแรมบนเมนบอร์ดแบบง่าย ๆ นะครับ เอาไปใช้ได้กับทุกบอร์ดเลย

     

    ในสเปคของเมนบอร์ด จะมีบัสที่ไม่มีวงเล็บ ซึ่งหมายถึงว่า ถ้าเราซื้อแรมที่บัสนั้น ๆ มา จะสามารถเปิดติดและได้ความเร็วตามนั้นทันที (หรือถ้าไม่ได้ ให้เปิด Auto XMP ก็สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องปรับค่า) แต่ถ้าบัสมีวงเล็บ OC ตามหลัง หมายความว่าถ้าเราใส่แรมบัสนั้นแล้ว จะต้องมีการเปิด XMP แล้วปรับไฟ ปรับ Timing จึงจะใช้งานที่ความเร็วนั้นได้ครับ

     

     

     

     

    ข้อนี้ไม่มีอะไรมากครับ ผมจะบอกว่า ถ้าเรามีแผนที่จะอัปเกรดแรมในอนาคตเรา เราควรจะซื้อเมนบอร์ดที่มีสล็อตแรม 4 ช่อง เพราะผมเคยมีประสบการณ์ที่ใช้บอร์ดที่มีสล็อตแรมเพียง 2 ช่อง แล้วดันใส่แรมแบบ 4GBx2 ไปด้วยงบประมาณจำกัดในตอนนั้น พอตอนนี้มีเงินจะอัปเกรดที่ต้องโละแรมเก่าออกหมด แล้วซื้อ 8GBx2 มาใส่แทน

     

    จะเห็นว่าถ้าเรามีสล็อตแรม 4 ช่อง มันก็จะดีกว่าในแง่ของการอัปเกรด เพราะเราสามารถซื้อแรมมาใส่เพิ่มได้อีก โดยที่มันก็วิ่ง Dual channel เหมือนเดิม

     

    4. สล็อต M.2

    สล็อต M.2 นั้น เอาไว้อัปเกรด SSD ในอนาคต เป็นออปชันสำหรับคนที่อยากได้ความแรงในการเปิดปิดหรือถ่ายโอนไฟล์ เช่น M.2 สล็อตบนใช้ลงวินโดวส์ สล็อตล่างใช้ลงเกมหรือโปรแกรมที่เปิดใช้บ่อย ส่วนข้อมูลอื่น ๆ เก็บ HDD อะไรประมาณนี้ครับ แต่ M.2 ที่มีสล็อตมากกว่าหนึ่ง มันจะมีข้อจำกัดในเรื่องของเลน เดี๋ยวผมจะบอกในข้อถัดไป

     

    5. PCIe/SATA lane

    นี่แหละ คือปัญหาที่คนเข้ามาถามผมพบบ่อย ๆ เป็นต้นว่า “ทำไม SSD วิ่งไม่เต็ม”  หรือ “ทำไมการ์ดจอวิ่งแค่ PCIe 3.0 x8” (ที่งงยิ่งกว่าคือมีคนถามว่า “ทำไหม…” เอ๊ะ ให้ทำผมทำอะไรอะ)

    แล้วปัญหาเหล่านี้เกิดจากอะไร?? คงต้องย้อนกลับไปที่ชิปเซตและซีพียูที่เราใช้อีกที เพราะพวกนี้คือข้อพิจารณาในการออกแบบ PCIe lane ให้กับเมนบอร์ด จะมีกี่เลนก็ขึ้นอยู่กับสองสิ่งนี้เลย

    ผมจะยกตัวอย่างในเมนบอร์ด AM4 ROG STRIX X470-F GAMING จะเห็นได้ว่า พอซีพียูต่างกันทำให้โหมดของ PCIe เปลี่ยนไป ลองดูที่ AMD Ryzen With Radeon Vega Graphics นะครับ จะพบว่า PCIe 3.0 จะวิ่งที่ x8 เท่านั้น นั่นแสดงว่า ถ้าเราใส่การ์ดจอลงไป มันจะวิ่งที่ x8 แทนที่จะวิ่งที่ x16 แบบใน Ryzen 1000/2000 รุ่นที่ไม่มีการ์ดจอ

    นอกจากนี้ ถ้าดูในส่วนของสตอเรจ ตรง AMD X470 Chipset มันจะมีหมายเหตุเป็น *2 อยู่ด้านท้าย พอไล่ลงไปดูมันเขียนไว้ว่า

    M.2_2 socket shares PCIe clock with PCIeX1_1, when PCIeX1_1 or PCIeX1_3 are occupied, M.2_2 only can support SATA mode

    หมายความว่า M.2 ช่องที่ 2 (ส่วนใหญ่จะเป็นสล็อตล่าง) ได้แชร์ PCIe lane ร่วมกับ PCIeX1_1 (ช่อง PCIe x1 จะเป็นช่องเล็ก ๆ บนบอร์ด) ถ้าเราได้ใช้งานสล็อต PCIeX1_1 หรือ PCIeX1_3 (ช่องที่ 1 หรือ 3) เช่น เสียบการ์ดเสียง ซึ่งจะใช้สล็อต X1 เป็นต้น จะส่งผลให้สล็อต M.2 ช่องที่ 2 ทำงานแค่ SATA Mode

    จากเหตุการณ์ด้านบนนะครับ ถ้าเพื่อน ๆ เสียบการ์ดเสียงลงไปบนบอร์ด แล้วมี SSD PCIe ความเร็ว 3000 MB/s เสียบลงใน M.2 ช่องที่ 2 จะทำให้ SSD ตัวนั้นวิ่งได้ไม่เกิน 600 MB/s เพราะ M.2 สลับโหมดไปเป็น SATA เรียบร้อย

    และนี่คือเหตุผลที่ผมอยากให้ทุกคนได้อ่านสเปคในส่วนนี้ไว้ด้วย เพราะมันมีความสำคัญอย่างมาก คนที่ไม่รู้ก็จะบ่นว่าบอร์ดเสียบ้าง ระบบห่วยบ้าง ซึ่งจริง ๆ มันเป็นเพียงข้อจำกัดที่เขาระบุมาอยู่แล้ว เพียงแต่เราไม่อ่านกันก็เท่านั้นเอง

     

    6. อยากได้กี่พอร์ต

    หลังจากจบเรื่องราวอันยากเย็น 5 ข้อแรกไปแล้ว ที่เหลือก็สบาย ๆ ครับ ในข้อนี้เป็นเรื่องการเลือกพอร์ตสำคัญ ๆ บนบอร์ด เพื่อให้เราเลือกพอร์ตให้ได้จำนวนตามที่ต้องการครับ

    พอร์ตคร่าว ๆ ที่ต้องรู้จัก ได้แก่

    – USB 3 / USB 3.1 Gen1 เร็วแรงตามมาตรฐานขั้นต่ำ

    – USB 2 เก่าละ ใช้งานแบบ Universal ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ หรือจะส่งข้อมูลแบบแบบขำ ๆ ก็ได้เช่นกัน

    – USB 3.1 Gen 2 เร็วขึ้นเยอะ แต่บางบอร์ดอาจจะไม่มีมาให้นะ

    – USB Type-C สุดยอด Universal port สามารถเชื่อมต่อได้ที่ความเร็วของทั้ง USB 3.1 Gen1 และ USB 3.1 Gen 2 ตามอุปกรณ์ที่เราเชื่อมต่อด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกบอร์ดจะมีมาให้นะ

    – HDMI / DisplayPort มีมาให้ในบอร์ดที่เราจะใช้งานการ์ดจอออนบอร์ด โดยเฉพาะ Ryzen APU

    – Audio port เดี๋ยวเราไปพูดกันในเรื่องชิปเสียงอีกทีครับ

    – PS/2 พอร์ตโบราณ เชื่อมต่อเมาส์หรือคีย์บอร์ดแบบโบราณ

    – Thunderbolt 3 อันนี้ก็ไม่ได้มีมาให้ทุกบอร์ด ต้องตัวท็อปจริง ๆ แต่มันก็ส่งข้อมูลเร็วที่สุดแล้วนะ

    ส่วนใหญ่แล้วบอร์ดแพง ๆ พอร์ตที่ให้จะมีเยอะและหลากหลายขึ้น ซึ่งมันก็จะเรียงไปตามชิปเซตนั่นแหละครับ โดยเราสามารถเช็คจากสเปคเมนบอร์ด ดูได้จากส่วนของ Internal I/O (พอร์ต I/O ภายใน) และ Back I/O (พอร์ต I/O ด้านหลัง)

     

    7. เรื่องเสียงเรื่องใหญ่

    ส่วนนี้ผมคงไม่เจาะลึกว่าชิปเสียงแบบไหน คุณภาพเยี่ยมยอด ฟังเพลงระดับพระกาฬ คงไม่ถึงขนาดนั้นนะครับ แต่จะบอกว่า ในเมนบอร์ดรุ่นเล็ก ชิปเสียงที่ให้จะเป็นแบบพอใช้งานได้ ดังนั้น มันอาจจะใช้งานได้แค่ลำโพง 2.1 ในขณะที่เมนบอร์ดตัวท็อป จะมาพร้อมกับชิปเสียงคุณภาพชั้นดี ต่อลำโพงได้แบบ 7.1 อะไรแบบนี้

    ซึ่งตรงนี้ก็ต้องพิจารณาดูละกันว่าต้องการใช้งานแบบไหน ถ้าซื้อบอร์ดถูกมาแต่ต้องการใช้ลำโพง 7.1 อาจจะต้องซื้อการ์ดเสียงแยก ซึ่งการ์ดเสียงต้องเสียบในพอร์ต PCIe x1 แล้วมันจะไปทับไลน์ของเลนอื่น ๆ หรือเปล่า อย่าลืมเช็คดูด้วยนะ

     

    8. ฟีเจอร์พิเศษ

    Special Features เป็นอีกหนึ่งจุดพิจารณาในการซื้อเมนบอร์ด เพราะมันเป็นคุณสมบัติบางอย่างที่ผู้ผลิตจะมอบให้เรา เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน เช่น ฟีเจอร์ป้องกันไฟกระชาก หรือจะเป็นพวกมอตเฟสคุณภาพเดียวกับที่ทางการทหารใช้ เป็นต้น

    แต่สิ่งที่อยากจะให้เลือกไว้พิจารณา มีดังนี้

    • ฟีเจอร์อัปเดตไบออสจาก USB โดยไม่ต้องเข้าไบออส
    • ฟีเจอร์สลับไบออสได้ทันที เมื่อไบออสตัวนึงเกิดความเสียหาย
    • ฟีเจอร์ในการซิ้งค์ไฟ RGB

     

    9. ของแถม

    อีกจุดหนึ่งที่อยากให้ลองเปิด ๆ ดูกันก่อนซื้อนะครับ คือเรื่องของแถมที่มากับกล่อง เพราะในบางครั้งมันอาจมีของให้เราไม่เพียงพอกับอุปกรณ์ โดยเฉพาะเรื่องของสาย SATA อันนี้ผมเคยเจอมาด้วยตัวเอง พอดีว่าผมมี HDD อยู่ 3 ลูก แต่เมนบอร์ดตัวถูกของผมมันดันแถมสาย SATA มาให้แค่ 2 เส้น T T นั่นล่ะครับ ต้องขับรถไปซื้ออีกเส้นมาจาก JIB เลย

    เพราะฉะนั้น อย่าลืมเช็คของให้ดีก่อนนะครับ เผื่อใครอยากใช้ HDD หลายลูก, อยากทำ SLI ฯลฯ จะได้ซื้อของมาประกอบให้ครบในครั้งเดียว ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา

     

    10. ราคา

    ข้อพิจารณาสุดท้าย ต่อให้เราอยากได้เมนบอร์ดตัวท็อป แถมบล็อกน้ำในตัว OC ได้สุด ๆ แต่ถ้าเงินในกระเป๋าไม่พอก็อดได้นะครับ ดังนั้น ต้องตั้งงบขึ้นมาประมาณหนึ่ง แล้วใช้ข้อมูลจาก 9 ข้อเป็นตัวเลือก ให้พอดีกับงบในกระเป๋าเงิน

     

     

     

     ขอขอบคุณบทความดีๆจาก extremeit.com

    ระบบสารสนเทศในบริษัทยุคภัยไซเบอร์
    ความคิดเห็น (0) ระบบสารสนเทศในบริษัทยุคภัยไซเบอร์

    ระบบสารสนเทศพื้นฐานภายในบริษัท
         1.ระบบเครือข่ายภายในบริษัท
            ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือระบบเน็ตเวิร์ก คือกลุ่มของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกันเพื่อให้ผู้ใช้ในเครือข่ายสามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล และใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่ายร่วมกันได้


         2.ระบบรักษาความปลอดภัย (FIREWALL)
            ไฟร์วอลล์ คือซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ในระบบเครือข่าย หน้าที่ของไฟร์วอลล์ คือ เป็นตัวกรองข้อมูลสื่อสาร โดยการกำหนดกฎระเบียบมาบังคับใช้ โดยเฉพาะเรื่องของการดูแลระบบเครือข่าย เเละความผิดพลาดของการปรับแต่งอาจส่งผลทำให้ไฟล์วอลล์มีช่องโหว่ และนำไปสู่สาเหตุของการโจรกรรมข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ได้

     


         3.ระบบแม่ข่าย (SERVER)
            เครื่องบริการ หรือ เครื่องแม่ข่าย คือ เครื่องหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งทำงานให้บริการ ในระบบเครือข่ายแก่ลูกข่าย สามารถให้บริการแก่ผู้ใช้ได้เป็นจำนวนมาก

     

     

    อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยและบริหารจัดการของระบบสารสนเทศ

    1. อุปกรณ์รักษาความปลอดภัย (FIREWALL)
        Fortigate เป็น Next Generation Firewall ระดับ Enterprise ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งรวมความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามทาง Internet ได้ทุกรูปแบบ ที่เห็นภาพรวมของระบบ ช่วยป้องกับอุปกรณ์ Application ที่อยู่ในเครือข่าย ซึ่งป้องกันด้วย ระบบป้องกันภัยคุกคามระดับสูง ในทุกจุดของเครือข่าย

     

    • FortiGate ทุกรุ่นมีความสามารถ ดังนี้
    • รวมความสามารถในการป้องกัยภัยคุกคามทาง Internet ทุกรูปแบบ
    • ป้องกันภัยคุมคามทันที ด้วยระบบ threat intelligence
    • รวมการ Audit และ Compliance เพื่อพัฒนาการป้องกันให้ดียิ่งขึ้น
    • SSL Inspection ทีมีประสิทธิภาพสูง ป้องกัน Malware ผ่านทาง SSL
    • ระบบบริหารจัดการจากหน้า Panel เดียว ทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ

     

     

     

    ในกรณีต้องการเก็บ Log ตาม พรบ คอมพิวเตอร์ 2560 ฉบับปรับปรุง พรบ คอมพิวเตอร์ 2550 ต้องใช้  FortiGate รุ่นที่มี Storage ภายใน

    เช่น FortiGate 51E , FortiGate 61E หรือส่ง Log ไปเก็บยัง FortiCloud หรีอ FortiAnalyzer

     

    2. ระบบแม่ข่าย (SERVER)

           Active Directory (แอคทีฟ ไดเรคทอรี่) เป็นเครื่องมือที่มีมากับ Windows Server Operating System (วินโด้ เซิร์ฟเวอร์ โอเปอร์เรติ้ง ซิสเต็ม) โดยทำหน้าที่ช่วยจัดการทรัพยากรในระบบ ด้วยเครื่องมือของ Server Domain Controller (เซิร์ฟเวอร์ โดเมน คอนโทลเลอร์) ถ้าองค์กรที่มี User จำนวนมาก ๆ สามารถนำ Active Directory มาใช้งาน จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการทรัพยากรของ User อีกทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบโดยรวมโดยที่ไม่ต้องซื้อเครื่องมือเพิ่มเติม นอกจากจะช่วยจัดการทรัพยากรในระบบแล้ว Active Directory ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับ Object ต่างๆ เช่น ยูสเซอร์ (User), กลุ่ม (Group) คอมพิวเตอร์ (Computer) หรือ นโยบายรักษาความปลอดภัย (Security Policy) เป็นต้น

    ส่วนประกอบของ Active Directory นั้น จะมีส่วนประกอบอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน คือ
    1. Active Directory Service (แอคทีฟ ไดเรคทอรี่ เซอรวิช) เป็นส่วนประกอบที่ทำหน้าที่ให้บริการแก่ User และ Admin (แอดมิน)
    2. Active Directory Database (แอคทีฟ ไดเรคทอรี่ ดาต้าเบส) เป็นฐานข้อมูลสำหรับใช้ในการเก็บ Directory Object (ไดเรคทอรี่ ออฟเจค) ต่างๆ เช่น User Account, Group Account, Shared Folder (แชร์ โฟลเดอร์) เป็นต้น

     

    ระบบสำรองข้อมูลเพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบจากความเสียหายของข้อมูลบริษัท

     

    1. ระบบสำรองข้อมูลผู้ใช้

        การกู้ข้อมูลคืนโดยใช้เครื่องมือ Volume Shadow Copy เพื่อบริหารจัดการการลบและกู้คืนไฟล์ที่ดีขึ้น คุณลักษณะเด่นนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งในบริการ Volume Shadow Copy Service ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้จัดการระบบสามารถปรับแต่งโปรแกรมเพื่อให้ระบบสามารถ copy ข้อมูลที่มีความสำคัญต่อองค์กรได้ในทันที โดยที่ไม่มีการขัดจังหวะจากการหยุดทำงานของระบบแต่อย่างใด ซึ่งสำเนาข้อมูลต่างๆ เหล่านี้นับได้ว่ามีประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน เมื่อต้องการเรียกข้อมูลคืน และการจัดเก็บข้อมูลเข้าแฟ้มข้อมูลถาวร เนื่องจากผู้ใช้งานสามารถเรียกข้อมูลในแฟ้มข้อมูลถาวรซึ่งอยู่บน Server นั้นมาใช้งานได้ตลอดเวลา วิธีการกู้ไฟล์คืนที่ดีขึ้นกว่าระบบเก่านี้จึงถือว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิผล ให้กับองค์กรได้เป็นอย่างดีทีเดียว

     

                

     

     

     

    2. สำรองข้อมูลเครื่องแม่ข่าย

        VMware นั้นเราสามารถทำสิ่งที่เรียกว่า Snapshot ได้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่บันทึกช่วงเวลาที่เราได้ทำอะไรกับ Guest OS ไป แล้วอนาคตมีความต้องการที่จะกลับมาใช้สถานการณ์ในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง โดยที่สภาพแวดล้อมใน Guest OS ก็จะถูกย้อนกลับไปยังจุดที่เราได้บันทึกไว้ เช่น

         บางครั้งเรากำลังทดสอบการทำงาน Windows Server ใน Guest OS บางอย่างอยู่ แล้วไม่แน่ใจว่า สิ่งที่เรากำลังจะทำต่อไปมีผลเสียอะไรกับระบบหรือไม่ ซึ่งหากเป็นเครื่อง Server แบบ Physical จริง ๆ แล้วก็คงทำแล้วทำเลย เจ๊งก็เจ๊งเลย แต่ในสภาพแวดล้อมของ Virtualization นั้นเราสามารถบันทึกช่วงเวลานั้นเอาไว้กลับมาใช้ภายหลังได้ ถ้าหากพลาดไป ก็ยังย้อนสถานะกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้โดยไม่ต้อง Build ระบบใหม่ทั้งหมด

     

    ปัญหาที่พบบ่อย

    - ผู้ใช้งานติด Virusเรียกค่าไถ่ RansomWareโดยไม่ได้ตั้งใจเนื่องจากเปิด Emailหรือ Downloadไฟล์จต่างๆ จากInternet

       วิธีแก้ปัญหา

        1. ทำการปลดเครื่องออกจากระบบเครือข่ายแล้วกำจัด Virus

        2. ทำการ Restore ข้อมูลที่ทางผู้ใช้ได้สำรองไว้

       แนวทางแก้ไขปัญหา

        1. มีอุปกรณ์ Firewall ที่สามารถตรวจจับ Virus เรียกค่าไถ่ ก่อนที่ Virus จะทำความเสียหายให้กับข้อมูล

        2. มีระบบสำรองข้อมูลของผู้ใช้ที่ระบบแม่ข่าย (Volume Shadow Copy) และสามารถเรียกคืนได้เป็นช่วงเวลาที่ต้องการตามนโยบาย