ค้นหา
ภาษาไทย
สินค้าตามประเภท
    เมนู ปิด
    กลับไปทั้งหมด

    Powerline ขยายสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้ทั่วถึง ผ่านสายไฟบ้าน

    คุณเคยประสบปัญหาการใช้งานอินเตอร์เน็ต Wi-Fi ไม่ได้ความเร็วเท่ากับโปรโมชั่นหรือตามคำโฆษณามั้ย ปัญหานี้อาจมาจากหลายสาเหตุเช่น พื้นที่ที่คุณอยู่อาศัยนั้นมีขนาดกว้างเกินไป เช่นบ้านหรือโฮมออฟฟิศที่มีหลายชั้น สิ่งกีดขวางสัญญาณอีกมากมาย ทำให้การกระจายสัญญาณ Wi-Fi ทำได้ไม่ครอบคลุมพื้นที่ จะเดินสาย Lan เพิ่มเติมก็เกรงว่าจะต้องมีการติดตั้งให้วุ่นวาย เรามีวิธีแก้ไขปัญหาให้คุณสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้เต็มสปีด ครอบคลุมทั้งอาคารอย่างง่ายดายมาฝาก โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Powerline เป็นตัวช่วย

     

    Powerline คืออะไร?

    Powerline เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณอินเตอร์เน็ตเข้าสู่สายไฟบ้าน เพื่อให้สายไฟบ้านทำหน้าที่ส่งผ่านข้อมูลอินเตอร์เน็ตไปยังตัวรับ Powerline ปลายทางได้ ว่าง่ายๆ คือแปลงสายไฟบ้านให้ทำหน้าที่แทนสาย LAN นั่นเอง ดังนั้นจึงทำให้เราไม่ต้องเดินสาย LAN ภายในบ้านให้ยุ่งยากเพิ่มเติม หากต้องการขยายการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต หรือสร้างเครือข่าย LAN ภายในบ้าน

     

     

    เริ่มต้นการใช้งาน Powerline

    Powerline ทำงานโดยอาศัยการเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตระหว่างฝั่งตัวส่งและฝั่งตัวรับ โดยเราจะเริ่มการเชื่อมต่อ Powerline ฝั่งตัวส่งกับโมเด็มหรือ Router เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวส่งสัญญาณต้นทาง และเชื่อมต่อฝั่งตัวรับเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณปลายทางเข้ากับอุปกรณ์ที่เราต้องการใช้งานอินเตอร์เน็ต โดยสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ถูกส่งผ่านด้วย Powerline ทั้งสองฝั่งนั้นจะวิ่งผ่านวงจรสายไฟฟ้าภายในบ้าน ที่เปรียบเสมือนสาย LAN โดยระยะห่างที่เหมาะสมระหว่าง Powerline ทั้งสองฝั่งคือในรัศมีประมาณ 300 เมตร

     

     

     

    ข้อดีของ Powerline

    นอกจาก Powerline จะสามารถแปลงร่างให้สายไฟฟ้าธรรมดาๆ กลายเป็นสายเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพื่อสร้างเครือข่ายภายในบ้านได้แล้ว ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของ Powerline คือการช่วยขยายความแรงของสัญญาณอินเตอร์เน็ตในจุดอับสัญญาณ Wi-Fi ได้ เพราะในเมื่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตสามารถวิ่งผ่านไปในสายไฟฟ้าทั่วทั้งบ้านของคุณแล้ว แน่นอนว่าห้องไหนที่สัญญาณ Wi-Fi อ่อน หรือเข้าไม่ถึง เราก็สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่ส่งผ่านสายไฟมาใช้งานแทนได้ หรือแม้กระทั่งจะรับสัญญาณออกมากระจายอีกต่อด้วย Wi-Fi Router ก็ได้

     

     

    ข้อเสียและข้อจำกัดของ Powerline

    Powerline จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หากมีคลื่นรบกวนในวงจรไฟฟ้าอันเกิดจากเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า, เครื่องดูดฝุ่น, ไดร์เป่าผม, เครื่องปั่นน้ำผลไม้ แม้กระทั่งการเปิด-ปิดสวิตช์ไฟ ที่อาจทำให้เกิดสัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้นภายในระบบ หรือหากภายในบ้านของคุณมีเบรคเกอร์ตัดวงจร ก็จะเป็นสิ่งที่สามารถกีดขวางสัญญาณจาก Powerline ได้ นอกจากนี้ถ้าหากภายในห้องคุณมีเต้ารับจำนวนจำกัด คุณจำเป็นต้องจัดสรรเต้ารับสำหรับ Powerline โดยเฉพาะ เพราะ Powerline ไม่สามารถใช้ร่วมกับปลั๊กพ่วงเนื่องจากทำให้การส่งสัญญาณทำได้ไม่เต็มที่ หรืออาจเกิดความร้อนสูงจนเกิดอัคคีภัย ข้อเสียสุดท้ายของ Powerline คือไม่สามารถส่งสัญญาณข้ามอาคาร หรืออาคารที่ใช้วงจรไฟฟ้าคนละวงจรได้ ฉะนั้นก่อนที่คุณจะเลือกใช้ Powerline จึงจำเป็นต้องพิจารณาถึงข้อเสียและข้อจำกัดเหล่านี้เสียก่อน

     

     

     

    Powerline มีกี่ประเภท?

    • Powerline ประเภท Ethernet คือ ฝั่งตัวรับสัญญาณจะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ผ่านพอร์ต Lan เหมาะกับอุปกรณ์ที่มีพอร์ต Lan เช่นคอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก, สมาร์ททีวี หรือผู้ที่มีงบประมาณจำกัด เนื่องจาก Powerline ประเภทนี้เป็นรุ่นพื้นฐาน มีราคาที่ไม่สูงมาก ราคาอาจแตกต่างกันขึ้นกับการรองรับความเร็วสูงสุด หรือจำนวนช่องพอร์ต Lan ที่มีตั้งแต่ 1 ≥ 3 ช่อง

     

     

    • Powerline ประเภท Wi-Fi คือ ฝั่งตัวรับสัญญาณจะกระจายสัญญาณผ่าน Wi-Fi ไร้สาย เหมาะกับอุปกรณ์ที่มีภาครับสัญญาณ Wi-Fi ทั้งหลาย เช่น สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, กล้องวงจรปิด, อุปกรณ์สมาร์ทโฮม สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้หลากหลายพร้อมกัน เหมาะกับบ้านที่อาศัยอยู่กันหลายคน หรือมีอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชิ้น นอกจากนี้บางรุ่นก็มาพร้อมกับพอร์ตเชื่อมต่อ Lan เพื่อรองรับการเชื่อมต่อด้วยสาย Lan ควบคู่ไปอีกด้วย โดย Powerline ประเภทนี้จะมีราคาที่สูงขึ้นจาก Powerline ประเภท Ethernet พอสมควร

     

     

     

    • Powerline ประเภท Passthrough คือ ฝั่งตัวรับสัญญาณจะมีช่องเต้ารับภายในตัว สามารถนำเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ เสียบปลั๊กไฟอีกชั้นเพื่อใช้งานได้ แก้ไขปัญหาเต้ารับไฟไม่เพียงพอเนื่องจากต้องเสียช่องเต้ารับไปกับการใช้ Powerline โดย Powerline ประเภทนี้จะมีวงจรป้องกันสัญญาณรบกวนจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียบผ่านตัวมัน นอกจากจะไม่เสียช่องเต้ารับแล้ว สามารถมั่นใจได้ว่า Powerline ของคุณยังทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

     

     

    การเลือกสปีดความเร็วในการรับส่งข้อมูล

    Powerline มีสเปคในการรองรับความเร็วสูงสุดของการเชื่อมต่อด้วยสาย Lan เช่นเดียวกับ Router โดยรองรับความเร็วแบนด์วิดธ์ที่ระดับ 100 ≥ 1000 Mbps ไปจนถึงระดับ Gbps (1800 Mbps) ตามมาตรฐาน Ethernet IEEE 802.3 ซึ่งหากต้องการความเร็วในการเชื่อมต่อสูง ก็ต้องเลือกรุ่นที่รองรับแบนด์วิดธ์ที่สูงตามไปด้วย และเมื่อมีความเร็วแบนด์วิดธ์ที่สูงขึ้น จะทำให้การดาวน์โหลด/อัพโหลดไฟล์ หรือการเล่นภาพยนตร์ การฟังเพลงผ่านช่องทางสตรีมมิ่งนั้นมีความรวดเร็ว ลื่นไหลๆ ไม่สะดุด รองรับความละเอียดภาพระดับ Ultra HD และเสียงมีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น แต่มาพร้อมกับราคาที่สูงขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับแพ็กเกจอินเตอร์เน็ตที่ติดตั้งภายในบ้านของคุณด้วย ซึ่งควรจะเลือกซื้อ Powerline ให้รองรับสปีดที่มากกว่าความเร็วอินเตอร์เน็ตที่เลือกไว้จะดีกว่า จะได้ไม่เป็นปัญหาคอขวดที่ทำให้ความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลล่าช้า

     

     

    สำหรับ Powerline ประเภท Wi-Fi ที่สามารถปล่อยสัญญาณ Wi-Fi ออกมานั้น มีมาตรฐานเช่นเดียวกับ Router เช่นกัน ปัจจุบันได้มีการพัฒนามาตรฐานใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ จนถึงมาตรฐานระดับ 802.11ac ที่รองรับความเร็วสูงสุดได้ถึง 800 Mbps ด้วยคลื่นความถี่ 5 GHz ในอุปกรณ์บางรุ่นสามารถปล่อยสัญญาณโดยใช้สองคลื่นความถี่ ทั้ง 5 Ghz และ 2.4 Ghz เพื่อขยายแบนด์วิดธ์ให้มากขึ้น โดยอุปกรณ์ที่รับคลื่นสัญญาณต้องรองรับมาตรฐานเหล่านี้ด้วยเช่นกันจึงจะสามารถรับความเร็วสูงสุดนี้ได้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่คุณควรพิจารณาว่ามีความจำเป็นด้วยหรือไม่ในการเลือกซื้อ Powerline แต่ละชนิด

     

     

    ความคิดเห็น
    แสดงความคิดเห็น ปิด
    *