ค้นหา
ภาษาไทย
สินค้าตามประเภท
    เมนู ปิด
    RSS

    Blog posts of '2019' 'กุมภาพันธ์'

    ความคิดเห็น (50) ความแตกต่างของจอ TN, VA และ IPS – จะเลือกซื้อพาเนลไหนดี?

    ความแตกต่างของจอคอมพิวเตอร์ LCD ประเภทต่างๆ ที่มีในปัจจุบัน ว่าแต่ละประเภทจะมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไรบ้างขออนุญาตข้ามในส่วนของหลักการทำงาน ของจอแต่ละประเภทไปเลย เรามาดูในเรื่องมุมมอง หรือ View Angle ของจอกันเลยดีกว่าว่ามันมีความแตกต่างกันอย่างไร

     

     

     

    สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างของจอ TN, VA และ IPS คือเรื่องมุมมองของภายในแต่ละทิศ โดยจอ TN จะมีมุมมองแคบที่สุด ตามทฤษฎีคือ 170/160 องศา แต่พอใช้งานจริงแล้วอาจจะได้น้อยกว่านี้ แม้จอ TN รุ่นท็อปจะมีมุมมองที่ใกล้เคียงกับทฤษฎี แต่มันก็ยังแย่กว่า VA และ IPS อยู่ดี

     

    VA อยู่ระหว่างกลาง มุมมองดีขึ้นกว่า TN แต่ยังสู้ IPS ไม่ได้นะครับ โดยที่ IPS จะมีมุมมองได้สูงสุดอยู่ที่ 178/178 องศา และไม่ค่อยเกิดการเปลี่ยนแปลงของสี เมื่อเปลี่ยนแปลงมุมมอง หากใช้งานในชีวิตจริง ดังนั้น ใครที่ต้องใช้จอทำงาน โดยเน้นความแม่นยำของสีเป็นอย่างมาก IPS จะเหมาะที่สุด

     

    ความสว่างและความเข้มของสี

    ในเรื่องของความสว่างนั้น จอทั้งสามประเภทจะไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยคือ Contrast ratio คืออัตราความต่างของสีขาวที่สุดและดำที่สุด ถ้ายิ่งค่าสูงขึ้น สีดำก็จะดำสนิทมากขึ้น สีจัดมากขึ้น

    TN และ IPS จะมี Contrast ratio ใกล้เคียงกันคือราวๆ 1000:1 (แม้ว่า IPS จะดันได้มากกว่านี้อีกเล็กน้อย แต่ภาพรวมขอเหมาว่ามันเท่าๆ กัน) นอกจากนี้ ในจอ IPS เราจะพบสิ่งที่เรียกว่า IPS Glow ซึ่งเป็นแสงสีขาวที่ฉาบเหนือส่วนสีดำของภาพบนจอ (คนที่ใช้ IPS น่าจะทราบกันอยู่นะครับ) ทำให้ความเข้มของสีลดลงไปอีกนั่นเอง

     

     

     

    แต่ไม่มีใครจะสามารถเทียบความสดของ VA ได้เลย เนื่องจากจอ VA ระดับล่าง สามารถมี Contrast ratio ได้สูงถึง 2000:1 ในขณะที่รุ่นท็อป สามารถดันได้ถึง 4500:1 หากใครต้องการจอที่สีชัดๆ สีดำต้องดำสนิท ขอแนะนำจอ VA เลยครับ (อย่าลืมว่าต้องมองจอตรงๆ นะ เพราะมุมมองด้านข้างจะทำให้สีเพี้ยน)

     

     

    คุณภาพของสี

    คุณภาพของสีเป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญ โดยจะขอแบ่งการพิจารณาคุณภาพเป็น 2 กลุ่ม คือการแยกความแตกต่างของสี (Color depth) และความกว้างของช่วงสี (Color gamut)

    อันดับแรก ใครที่อยากได้จอสีสวยๆ ขอให้ตัดจอ TN ออกได้เลย เพราะโดยทั่วไปแล้ว มันมี Color depth อยู่ที่ 6-bit เท่านั้น ทำให้การแยกความแตกต่างของสีในจอ TN จะแคบกว่าจอ VA และ IPS แม้จอรุ่นแพงๆ จะสามารถเพิ่มความแตกต่างได้ถึง 8-bit แต่ก็อย่างที่ผมบอก มันเหมือนการบีบบังคับให้จอทำได้ มองดูแล้วยังไงก็สวยสู้ VA และ IPS ไม่ได้นั่นเอง

    ในขณะที่จอ VA และ IPS จะมีค่าความต่างของสีอยู่ที่ 8-bit (รุ่นที่มีราคาถูก บาครั้งเราจะเห็นว่ามันมีค่า 6-bit ได้เหมือนกัน) มันจึงกลายเป็นตัวเลือกสำหรับเหล่าเกมเมอร์ที่ชอบภาพสวยๆ ทั้งนี้ จอ IPS ยังสามารถอัปได้ถึง 10-bitส่วนจอ VA มีน้อยมากที่จะทำรูปแบบ 10-bit ออกมา ดังนั้น IPS จึงเป็นผู้ชนะในเรื่องนี้

     

    Color Gamut

    มาต่อกันที่เรื่องความกว้างของช่วงสี ยิ่งค่าสีกว้าง เราก็จะมองเห็นสีได้หลากหลายขึ้น สำหรับจอ IPS และ VA นั้นดีกว่าแน่นอน ส่วน TN จะจำกัดอยู่ในช่วงของ sRGB เท่านั้น ที่แย่กว่าคือถ้าเป็น TN รุ่นล่างๆ ยังครอบคลุมไม่ได้หมดในช่วง sRGB เสียด้วยซ้ำ

     

     

    จอ VA คลุม sRGB ตั้งแต่เริ่มต้นเลย และยังสามารถดันได้สูงขึ้นอีก ยกตัวอย่างจอ Quantum dot ของ SAMSUNG จะมีช่วงสีอยู่ที่ 125% sRGB หรือ 90% DCI-P3

    สุดท้ายจอ IPS อันนี้มีตั้งแต่ 95% sRGB ไปจนถึง 95% DCI-P3 แต่ก็ยังยากที่จะเห็นจอ IPS คลุมได้ถึงระดับ full DCI-P3 และ Adobe RGB ซึ่งถ้านำมาใช้เล่นเกม คงจะยิ่งเห็นได้น้อยไปอีกนะครับ เอาเป็นว่าในเรื่องความกว้างของช่วงนี้ IPS ยังคงยืนหนึ่ง

     

    Refresh rate

    เห็นบ่นให้ TN มาเยอะ ว่าแย่ๆๆ ในเรื่องของสี แต่สำหรับ Refresh rate แล้ว จอ TN ไม่เป็นรองใครแน่นอนครับ เพราะมันเป็นข้อได้เปรียบของจอประเภทนี้เลย

     

    จอ TN เป็นพาเนลเดียวที่สามารถดันได้ถึง 240 Hz บนความละเอียด 1080p และ 1440p ในขณะที่จอ VA สุดที่ 200 Hz (แต่จอ VA 16:9 ส่วนใหญ่จะไปสุดที่ 165 Hz) ส่วนจอ IPS เนี่ยสอบตกในเรื่องนี้ไป เพราะรุ่นท็อปจริงๆ ดันได้ 165 Hz ยิ่งจอกลุ่มโปร ที่ต้องการความละเอียดสูง จะเห็นว่ามีค่า Refresh rate อยู่ที่ 60-75 Hz เท่านั้นเอง แม้ว่าจอ IPS 1080p จาก LG ที่มี Refresh rate 240 Hz กำลังอยู่ในขั้นพัฒนา แต่ก็ถือว่ามันยังไม่มีอยู่จริงในตอนนี้

     

     

    Response time

    ข้อได้เปรียบอีก 1 จุดของจอ TN คือเรื่อง Response time ตัวเทพๆ สามารถตอบสนองได้เร็ว 1ms หรือเร็วกว่านั้นอีก ในขณะที่รุ่นล่างๆ ก็ไม่ได้ช้าเกิน 5ms ทำเอา IPS และ VA เทียบไม่ติดเลยทีเดียว

    ทางด้าน IPS และ VA นี่แย่พอๆ กัน ถ้าเป็นจอ IPS รุ่นท็อปหน่อย จะเร็วสุดได้ 4ms รุ่นทั่วไปจะอยู่ในช่วง 5-7 ms แต่ถ้ารุ่นล่างๆ นี่หลุดโลกเลยครับ อาจลงได้มากถึง 10ms หรือเยอะกว่านั้น

     

    VA รู้สึกจะรับกรรมมากที่สุดแล้ว เร็วสุดได้ 5-6 ms จอรุ่นทั่วไปจะอยู่ที่ 8-10 ms แต่ทีนี้การประเมินอาจได้ผลแตกต่างกันไปนะครับ ส่วนใหญ่เขาจะใช้มาตรฐาน Grey-to-Grey ทีนี้การทดสอบบางแบบ จอ VA อาจได้ค่า Response time ที่ดีขึ้น แต่ในบางการทดสอบอาจได้ผลลัพธ์ที่แย่จนต้องตะลึง

     

    สรุปสุดท้าย

    ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเทคโนโลยีไหนดีที่สุดนะ เพราะมันขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน แต่ผมจะขอสรุปคร่าวๆ สำหรับการนำไปเลือกซื้อจอมอนิเตอร์

    TN: ภาพและสีแย่สุด แต่ได้เปรียบในเรื่องของการตอบสนอง และอัตรารีเฟรช เหมาะกับการเล่นเกมที่เน้นการเปลี่ยนฉากไวๆ โดยเฉพาะเกม Online, Battle Royale, FPS, MOBA

    IPS: สีสวยสุด ได้เปรียบในด้านการทำงานกับสีที่ต้องการแยกความแตกต่างอย่างชัดเจน จึงเหมาะกับการทำงาน Photoshop หรือการเล่นเกมที่มีเอฟเฟคสวยๆ โดยไม่ต้องการ FPS ที่สูงมากนัก (อาจนำไปใช้เล่นเกม Online, Battle Royale, FPS, MOBA ในกรณีที่ทุ่มงบซื้อ IPS ที่มี Hz สูงๆ จะได้จุดเด่นในเรื่องสีสวยเข้ามาด้วย)

    VA: ผมให้ในระดับกลางๆ คอนทราสต์ดีสุด สีดำจะดำสนิทที่สุด เหมาะกับการดูหนัง หรือเล่นเกมเนื้อเรื่องสำหรับบางคนที่ต้องการดื่มด่ำกับเนื้อหาของเกม แต่สำหรับการเล่นเกม Online, Battle Royale, FPS, MOBA อาจจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไรนัก

     

    ขอขอบคุณบทความดีๆจากเว็บไซต์ www.extremeit.com

    ความคิดเห็น (0) รู้จักกับ FIBARO ระบบ Smart Home Automation เรื่องใกล้ตัวคนไทย

    ทุกวันนี้ เราจะได้ยินคำว่า smart home กันอยู่บ่อยๆนะคะ และก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไปแล้วหล่ะค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้ เรามีเทคโนโลยีต่างๆที่รองรับและยังมี solution มากมาย ที่จะมาทำให้ที่อยู่อาศัยหรือสำนักงานของเรา มีอุปกรณ์ที่สามารถสื่อสารพูดคุยกันได้ ทำงานเชื่อมโยงกันได้เองอัตโนมัติ สั่งงานได้ผ่านแอปจากที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้

    ส่วนตัวเอิ้นเองแล้วก็เป็นคนที่ชอบใช้ solution ที่เกี่ยวกับ smart home มาหลายปีแล้วหล่ะค่ะ แต่ไม่ใช่เพราะเป็นคนชอบเทคโนโลยีเท่านั้นนะคะ แต่เพราะเอิ้นเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ ทำให้ชีวิตของเราสะดวกสบายขึ้น ประหยัดพลังงาน และปลอดภัยยิ่งขึ้นค่ะ โดยไม่จำเป็นต้องใช้คนมากมาย เพราะเราใช้เทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วยนั่นเอง  บทความนี้ เอิ้นขอพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับ Smart Home และฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ที่ใช้สำหรับ Smart Home กันดีกว่าค่ะ

     

    Smart Home คืออะไร

    Smart Home หรือบ้านอัจฉริยะ คือ ที่ๆมีอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น หลอดไฟ เครื่องปรับอากาศ เครื่องฟอกอากาศ โทรทัศน์ ระบบเครื่องเสียง ที่จะสามารถจะสื่อสารกับอุปกรณ์อื่นๆได้ ทำงานเชื่อมโยงกันได้เองอัตโนมัติ หรือตั้งเวลาทำงานได้ และสามารถควบคุมจากระยะไกลได้ อาจจะควบคุมผ่านมือถือ หรือคอมพิวเตอร์ก็ได้ค่ะ ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์กับเรามาก เพราะมันจะจัดการให้เราเองหมดเลยค่ะ ไม่ต้องไปคอยกดสั่ง มายุ่งมากวนเรา ทำให้เราสะดวกสบาย ประหยัดเวลา ประหยัดเงินในกระเป๋า และประหยัดพลังงานได้มากเลยล่ะค่ะ เช่นตั้งเวลาเปิด-ปิด เครื่องปรับอากาศเพื่อประหยัดไฟ และยังเพิ่มความปลอดภัยได้ผ่านระบบเตือนภัยต่างๆที่ทำงานคู่กับเซนเซอร์ต่างๆ ทำงานเชื่อมโยงสื่อสารกันเองได้ด้วย

    ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีผู้ที่ทำอุปกรณ์และโซลูชั่นสำหรับ Smart Home ออกมามากขึ้น ขอยกตัวอย่างระบบของ FIBARO Smart Home Automation นะคะ เรามาลองดูกันหน่อยค่ะ ว่าทำอะไรได้บ้าง 

    บ้านอัจฉริยะ Smart Home Fibaro

    FIBARO Smart Home Automation

    ลองนึกถึงระบบบ้าน คล้ายระบบร่างกายมนุษย์นะคะ ซึ่งระบบ FIBARO จะมี Fibaro home center ทำหน้าที่เสมือนสมองของมนุษย์ โดยจะรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 (Senses) ได้แก่ การรับรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งระบบบ้านอัจฉริยะจะรับรู้ได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า Sensors ที่จะทำหน้าที่เสมือนประสาทสัมผัสของมนุษย์ค่ะ โดยจะถ่ายทอดสัญญาณไปยังสมอง หรือระบบศูนย์กลาง เพื่อสั่งการให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายตอบสนองการทำงาน เช่น แขน, ขา, การพูดคุย  ซึ่ง แขน ขา ในระบบบ้านอัจฉริยะก็คืออุปกรณ์สั่งการต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ ปรับแสงสว่าง ควบคุมม่าน เปิด/ปิดแอร์ นั่นเองค่ะ

    บ้านอัจฉริยะ Smart Home Fibaro

    มาลองยกตัวอย่างการทำงานของระบบ Smart Home Automation เมื่อนำมาใช้ในสำนักงานกันหน่อยดีกว่าค่ะ

    บ้านอัจฉริยะ Smart Home Fibaro

    ลองนึกถึง Smart Office ที่ทุกอย่างทำได้เองอัตโนมัติเมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้ เช่น

    • ทุกวันเวลา 6.00 น. – จะเปิดประตูคอยรอพนักงานได้เองอัตโนมัติ
    • ทุกวันเวลา 7.30 น. – เปิดม่าน มีเซนเซอร์เช็คความเข้มแสงเพื่อปรับองศาของม่านให้ได้แสงแบบพอดีๆ เปิดแอร์ เปิดไฟ เปิดเครื่องทำน้ำร้อนไว้พร้อมชงกาแฟได้
    • หากเราต้องการใช้ห้องประชุมก็สามารถควบคุมให้อุปกรณ์ต่างๆเปิดเซ็ตรอไว้ก่อนได้ก่อนที่เราจะไปถึง พอไปถึงปุ๊บ ทุกอย่างพร้อม
    • ทุกวันเวลา 11.30 น. – หลังการประชุมระบบก็จะปิดไฟและอุปกรณ์ต่างๆได้เอง และหากประชุมเสร็จเร็วก็สามารถสั่งปิดไฟและอุปกรณ์ต่างๆได้ผ่านมือถือ
    • ทุกวันเวลา 12.00 น. – เวลาพักเที่ยงของพนักงาน ตั้งเวลาไว้ให้แอร์และไฟดวงที่ไม่ได้ใช้ปิดเพื่อประหยัดพลังงาน
    • ทุกวันเวลา 17.00 น. – เมื่อพนักงงานกลับบ้านระบบเตือนภัยและระบบกันขโมยเริ่มงานอัตโนมัติ ช่วยดูแลความปลอดภัยได้ตลอด 24 ชั่วโมง

    ความสะดวกแบบนี้ก็ทำให้ออฟฟิศและพนักงานทุกคนพร้อมกับการเริ่มทำงานในทุกๆวัน สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยขึ้น เพราะมีตัวช่วยดีๆดูแลระบบในออฟฟิศค่ะ

    บ้านอัจฉริยะ Smart Home Fibaro

    FIBARO จะทำให้บ้านหรือสำนักงานของเราเป็น Smart Home Automation ได้อย่างไร?

    อุปกรณ์อัจฉริยะเหล่านี้ทำงานอัตโนมัติ และควบคุมผ่านแอปได้ และมีเซนเซอร์รอบบ้านที่คอยตรวจจับรูปแบบต่างๆ เช่น การสัมผัส, การเคลื่อนไหว, เสียง, ควัน, ความชื้น, อุณหภูมิ ฯลฯ ซึ่งก็สามารถทำงานคู่กับอุปกรณ์ได้หลายแบบ แสดงผลผ่านหลอดไฟ, เครื่องปรับอากาศ, ผ้าม่าน, กล้องวงจรปิด, ประตูหน้าบ้าน, ระบบกันขโมย, สัญญาณเตือนภัยไฟไหม้, ประตูล็อคแบบดิจิตอล หรือแม้แต่ในอุปกรณ์ในสวนอย่างเครื่องรดน้ำต้นไม้ก็ยังสั่งได้  สามารถคุมได้ผ่านทางแอปบนมือถือ หรือแท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ อีกทั้งยังช่วยแจ้งเตือนทุกความเคลื่อนไหวแบบทันที ทันทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด

    ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มทำระบบ ตั้งแต่บ้านเพิ่งเริ่มสร้าง ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินสาย อยากจะเพิ่มจุดควบคุมในอนาคตก็เพิ่มเติมได้ไม่จำกัด ใช้เวลาเพียง 1-2 วันในการติดตั้งระบบสำหรับบ้าน 1 หลัง จะกำหนดให้เป็นระบบกันขโมยก็ทำได้ เรียกได้ว่า เป็นทั้ง Smart home & security ก็ว่าได้ โดยระบบแบบนี้ ไม่ใช่จำกัดเฉพาะแค่บ้านเท่านั้นนะคะ แต่อาคาร ไม่ว่าจะเป็น สำนักงาน โรงแรม โรงพยาบาล การเกษตร ฯลฯ ก็สามารถนำระบบไปประยุกต์ใช้ ช่วยให้ชีวิตง่ายและสะดวกสบายมากขึ้นพร้อมความปลอดภัยและประหยัดไฟได้มากขึ้นด้วยค่ะ

    การเชื่อมต่อสัญญาณของระบบบ้านอัจฉริยะ จะใช้ FIBARO home center เชื่อมต่อกับเราเตอร์เพื่อแปลงสัญญาณ ไปแสดงผลยังอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น สมาร์ทโฟน , แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ ผ่านอินเทอร์เน็ต ให้เราสามารถสั่งงานอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ได้ทั้งในบ้าน และจากที่ไหนก็ได้บนโลกค่ะ ซึ่งการเชื่อมต่อของ FIBARO เป็นระบบไร้สาย ใช้ Z-Wave ที่จะช่วยเพิ่มระยะสัญญาณ เพิ่มความเสถียร และใช้พลังงานต่ำ ง่ายต่อการติดตั้ง และสามารถเพิ่มเติมอุปกรณ์ภายหลังได้สะดวก

    เพื่อนๆเคยสังเกตไหมคะ เวลาเราจะนำอุปกรณ์อัจฉริยะมาใช้ในบ้านหรือออฟฟิศของเรา ส่วนใหญ่อุปกรณ์แต่ละตัว ก็จะคู่กับแอปฯของมันเองโดยเฉพาะ ยกตัวอย่าง หลอดไฟก็ใช้หนึ่งแอปฯ ประตูโรงรถก็หนึ่งแอปฯ ระบบรักษาความปลอดภัยหนึ่งแอปฯ ระบบเครื่องปรับอากาศเครื่องฟอกอากาศในบ้านอีกหนึ่งแอปฯ! ถ้าเรามีหลายๆอุปกรณ์แบบนั้นก็คง ต้องลงแอพเอาไว้มากมาย วุ่นวาย รกหน้าจอน่าดู และการจะควบคุมหลายๆอุปกรณ์พร้อมกันก็คงต้องลำบากเปลี่ยนแอปฯไปมาแน่นอน

    บ้านอัจฉริยะ Smart Home Fibaro

     

     

    แต่ FIBARO เชื่อมต่อทุกอุปกรณ์ในบ้านและที่ออฟฟิศของเรา ทำให้สามารถควบคุมอุปกรณ์ทั้งหมดได้ในแอปฯเดียว! รองรับทั้งระบบปฏิบัติการ IOS และ Android ตอบโจทย์มากๆค่ะ

    บ้านอัจฉริยะ Smart Home Fibaro

    นอกจากนี้หากที่บ้านเราซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้ามาไว้อยู่แล้ว อยากจะเปลี่ยนให้อุปกรณ์ไฟฟ้าธรรมดาๆที่บ้านกลายเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะเพื่อมาเข้ากับระบบของ FIBARO ก็แค่นำหัวต่อปลั๊กมาสวมที่ปลายปลั๊กเท่านี้ก็เรียบร้อย ไลฟ์สไตล์ไม่เปลี่ยน คุ้นเคยกับอุปกรณ์แบบไหนก็ใช้ตัวเดิม ประหยัดอีกต่างหาก (แบบนี้ธุรกิจชอบ!) แถมยังสามารถตรวจสอบได้ทันทีว่าเราใช้ไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหนในแต่ละวันแต่ละเดือน แบบนี้เหมาะกับคนทำธุรกิจแน่นอนค่ะ เพราะสามารถช่วยในการคำนวณค่าไฟเพื่อการประหยัดมากขึ้นได้ด้วยแถมของที่มีอยู่แล้ว ก็นำมาใช้ร่วมกันได้

    แม้แต่เครื่องปรับอากาศเดิมที่มีอยู่หลากหลายยี่ห้อ ก็สามารถนำมาเชื่อมเข้ากับระบบของ FIBARO ได้ด้วยนะคะ ทำให้เราสามารถปรับอุณหภูมิได้ตามต้องการ ตั้งเปิด – ปิดตามเวลา และ ตั้งเปิด – ปิด เป็นพื้นที่ได้ ถ้าเป็นอาคารสำนักงาน อันนี้เหมาะเลยค่ะ

    ระบบ FIBARO – Smart Home Automation ประกอบด้วย

    ระบบควบคุมแสงสว่าง , ระบบรักษาความปลอดภัย , ระบบป้องกันอุบัติเหตุ , ระบบกล้องวงจรปิด , ระบบรดน้ำอัจฉริยะ , ระบบควบคุมม่านไฟฟ้า , ระบบควบคุมเครื่องปรับอากาศ , ระบบประตูรั้วไฟฟ้า, ระบบล็อคประตู เรียกได้ว่าครบวงจรจริงๆค่ะ

    SMART LIGHTING

    เปิด-ปิด-หรี่ ไฟได้ผ่านแอพพลิเคชั่น ควบคุมไฟ RGB เปลี่ยนสีได้ผ่านแอป

    บ้านอัจฉริยะ Smart Home Fibaro

     

     

     

    SMART AIR CONDITIONER

    ปรับอุณหภูมิได้ตามต้องการ , ตั้งเปิด – ปิดตามเวลา และ ตั้งเปิด – ปิด เป็นพื้นที่ได้

     

    บ้านอัจฉริยะ Smart Home Fibaro

    SMART GARDEN

    ไม่ใช่แค่ภายในบ้าน หรือในอาคารเท่านั้น ระบบอัจฉริยะยังตามมาถึงการรดน้ำในสวนได้ด้วย ช่วยให้เราสามารถควบคุมการรดน้ำตามสภาพอากาศโดยอ้างอิงจากพยากรณ์อากาศได้เลย ไม่ต้องสั่งเอง แต่เขาจะทำงานให้อัตโนมัติจากข้อมูลพยากรณ์อากาศ หรือถ้าจะตั้งรอบการรดน้ำต้นไม้ได้เองก็ทำได้ พร้อมสั่งงาน เปิด – ปิด ได้ผ่านมือถือ

    SMART CURTAIN

    ควบคุมสั่ง เปิด-ปิด ม่านได้ทุกรูปแบบ ปรับระดับการเปิด – ปิดได้ตามต้องการ ปรับองศามู่ลี่ได้ตามต้องการ โดยสั่งได้จากที่ไหนก็ได้ผ่านมือถือ

    SMART SURVEILLANCE

    เชื่อมต่อกล้องวงจรปิดได้อย่างอิสระให้เราตรวจดูแต่ละห้องได้จากระยะไกลผ่านมือถือจากที่ไหนก็ได้บนโลก ถ่ายรูปพร้อมแจ้งเตือนทันที เมื่อมีผู้บุกรุก และทำงานร่วมกับระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ได้

    SMART ENTRANCE GATE

    ตั้งโปรแกรมเปิด-ปิด อัตโนมัติ , เปิด-ปิด ได้จากทุกที่ ทุกเวลา แม้ไม่อยู่บ้าน

    SMART SECURITY

    ดูสถานะประตู หน้าต่าง การเคลื่อนไหวแบบ Real-time

    เปิด-ปิดระบบกันขโมย ได้จากทุกที่ แม้ไม่อยู่บ้าน

    โดยมีการแจ้งเตือนผ่านมือถือและอีเมล

    SMART SAFETY ALARM

    ระบบการแจ้งเตือนที่มีทั้งเตือนไฟไหม้ เตือนหน้าต่างถูกงัด หรือประตูเปิด มีผู้บุกรุก เตือนน้ำรั่วซึม เป็นต้น

    SMART DOORLOCK

    ล็อคและปลดล็อค จากที่ไหนก็ได้ ตั้งเวลาได้ตามต้องการ และสามารถ ดูสถานะล็อคแบบ Real-time

    เรายังสามารถตั้งซีนต่างๆได้ด้วย เช่น  โหมดออกจากบ้าน ก็อาจจะให้ไฟในห้องต่างๆ และเครื่องปรับอากาศปิดเองอัตโนมัติทันทีที่เราออกจากบ้านเป็นต้น

    บ้านอัจฉริยะ Smart Home Fibaro

    การจะทำ smart home เราก็ต้องมีทั้ง hardware และ software ควบคู่กันไปนะคะ ในส่วนของ software ก็คือแอปที่เราจะลงไว้ในมือถือหรือคอมพิวเตอร์เพื่อแสดงผล และใช้สั่งการต่างๆนั่นเอง ซึ่ง FIBARO ก็มีแอปที่ใช้ได้ทั้งบน IOS และ Android ที่เพียงแอปเดียวก็ควบคุมอุปกรณ์ได้ทั้งหมด ไม่ต้องโหลดมาหลายแอปให้วุ่นวาย

    ส่วนของ hardware ก็เช่น “sensor” ต่างๆที่จะมาคอยรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อส่งข้อมูลไปยัง “ตัวควบคุม” ที่ทำหน้าที่เหมือนสมอง ให้สั่งการอุปกรณ์ต่างๆให้ทำงานอัตโนมัติ และยังมีอุปกรณ์เสริมที่จะมาช่วยทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเดิมของเราที่มีอยู่แล้ว กลายเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะขึ้นมาได้

    ในส่วนของ FIBARO หัวใจสำคัญที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนสมองก็มีอยู่ 2 แบบให้เลือกคือ Home Center 2 ที่รองรับได้มากถึง 200 อุปกรณ์ หรือจะแบบเบาๆ ก็คือ Home Center Lite ที่รองรับได้ 20 อุปกรณ์

    บ้านอัจฉริยะ Smart Home Fibaro

    Hardware สำหรับทำให้อุปกรณ์เดิมของเรามีความอัจฉริยะขึ้นมาก็ เช่น Dimmer Module, RGBW Module ที่จะทำให้หลอดไฟธรรมดากลายเป็นหลอดไฟอัจฉริยะเพื่อเข้าร่วมในระบบ smart home ของเราได้ , Roller Shutter Module hardware เพื่อทำให้ม่านของเรากลายเป็นม่านอัจฉริยะ รองรับม่านจีบและมู่ลี่ , wall plug ที่นำไปเสียบกับอุปกรณ์ไฟฟ้าเดิมที่เรามีอยู่แล้ว ทำให้เราสามารถสั่งเปิด-ปิด เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นๆ จากที่ไหนก็ได้ พร้อมวัดปริมาณการใช้ไฟฟ้า ได้ด้วย, A/C Controller ใช้ระบบ infrared ในการส่งข้อมูลเพื่อควบคุมแอร์ มี library แอร์ทั่วโลกในตัว รองรับการเปิด ปิด ปรับอุณหภูมิ ความแรงลม

    และ sensor ก็เช่น Door & Window Sensor สำหรับติดตามประตูหน้าต่างเพื่อตรวจจับการเปิดปิด และส่งสัญญาณไปยังตัวควบคุม , Motion Sensor ตรวจจับความเคลื่อนไหว , Smoke Sensor ตรวจจับอุณหภูมิและความร้อนที่ผิดปกติ แจ้งเตือนแบบ real-time มีเสียงร้องในตัว , Flood Sensor เตือนน้ำรั่วซึม , The Swipe สั่งการด้วย 3D Sensor จับความเคลื่อนไหวของมือ สามารถซ่อนไว้ใต้โต็ะ หรือฝังกำแพงได้ด้วย เพราะสามารถทะลุได้ 5 ซม (แต่วัสดุห้ามเป็นโลหะนะ)

     

    ขอขอบคุณบทความดีๆจากเว็บไซต์ www.it24hrs.com

    ความคิดเห็น (0) 10 เทรนด์ด้านเทคโนโลยีในปี 2019

    ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จนหลายคนตามไม่ทัน เพราะเทคโนโลยีทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้าใครอยากก้าวให้ทันโลกและเทคโนโลยี บทความนี้เรามีข้อมูลเด็ดๆ ที่น่าสนใจและน่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนมาฝาก และนี่คือ 10 เทรนด์ด้านเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในปี 2019 จากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญจาก GARTNER 

     

    1. Autonomous Things (AI ในระบบอัตโนมัติ)

    AI จะไปอยู่ในทุกที่แม้แต่ในเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ที่มีระบบอัตโนมัติอยู่แล้ว AI จะถูกติดตั้งเพื่อให้สามารถคิดและตัดสินใจแทนมนุษย์ เช่น โดรนบินสำรวจในฟาร์ม เมื่อพบว่าพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวก็จะส่งสัญญาณไปให้รถเก็บเกี่ยวทำงานโดยอัตโนมัติ 


     

    2. Augmented Analytics (วิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI)

    แม้จะมีอาชีพนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่คอยวิเคราะห์ข้อมูลให้องค์กรอยู่แล้ว แต่ในอนาคตจะมีข้อมูลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจมีความผิดพลาดได้ ทำให้ AIเข้ามามีบทบาทในการช่วยจัดการกับข้อมูลปริมาณมหาศาล


     

    3. AI-Driven Development (AI ในการพัฒนาซอร์ฟแวร์)

    ในอนาคตอาจมีเครื่องมือที่ช่วยให้นักพัฒนาซอร์ฟแวร์สามารถใช้ AI ในซอร์ฟแวร์ที่พัฒนาได้ง่าย และสะดวกขึ้น ซึ่งจะทำให้ AI แพร่หลายและมีบทบาทในกระบวนการพัฒนาซอร์ฟแวร์มากยิ่งขึ้น


     

    4. Digital Twins (นำข้อมูลจริงไปใช้ในโลกดิจิทัล)

    อีกหนึ่งเทรนด์ที่จะเกิดขึ้น คือการนำเอาข้อมูลของวัตถุหรือโลกจริงไปใช้ประโยชน์ในโลกดิจิทัล เช่น การทำสำเนามนุษย์เพื่อศึกษาในด้านการแพทย์ หรือการทำสำเนาเมืองเพื่อการวางผังเมืองและแก้ไขปัญหา 


     

    5. Empowered Edge (เก็บและประมวลผลข้อมูลใก้ลผู้ใช้)

    การย้ายระบบจัดเก็บข้อมูลและประมวลผลไว้ใกล้กับผู้ใช้งานมากขึ้น รวมถึงสามารถทำงานต่างๆ ได้ก่อนส่งข้อมุลขึ้น Cloud เพื่อความรวดเร็วจะได้รับความนิยมมากขึ้น ในอนาคตตัวรับและประมวลผลอาจฝังอยู่ในอุปกรณ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน


     

    6. Immersive Experience (รวม VR, AR, MR)

    เทคโนโลยีที่ผู้ใช้งานสามารถควบคุมผ่านคำสั่งเสียงจะถูกรวมเข้ากับ Virtual Reality (VR), Augmented Reality (AR) และ Mixed Reality (MR) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น และในอนาคตก็จะเกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัสด้วย 


     

    7. Blockchain (ใช้บล็อกเชนนอกจากธุรกิจ)

    การใช้งาน Blockchain ในปัจจุบันยังไม่เต็มประสิทธิภาพ นอกเหนือจากการนำ Blockchian มาช่วยพัฒนากระบวนการทางธุรกิจแล้ว ในอนาคตจะมีการนำ Blockchain มาใช้เพื่อแบ่งปันข้อมูล สร้าง Digital Twins และลดปัญหา Vendor Lock-In ในอนาคต


     

    8. Smart Spaces (พื้นที่เชื่อมต่อระหว่างคนกับเทคโนโลยี)

    พื้นที่ที่ถูกออกแบบให้ผู้คนและเทคดนโลยีต่างๆ เชื่อมต่อและประสานงานกันได้อย่างสะดวก ถูกต้อง และเปิดเผย เพื่อสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ทั้งการใช้ชีวิต และการทำงาน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดตอนนี้คือ Smart City หรือ Smart Home 


     

    9. Digital Ethics and Privacy (จริยธรรมการใช้ข้อมูลและความเป็นส่วนตัว)

    ประเด็นด้านจริยธรรม และความเป็นส่วนตัวจะได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะผุ้คนจะให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ส่วนตัวที่องค์กรและภาครัฐนำไปใช้ขณะเดียวกันองค์กรและภาครัฐก็จะต้องออกนโยบายเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะก่อนให้เกิดขึ้นได้ 

     

    ระบบคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนจากแผงวงจรมาเป็นใช้คุณสมบัติของอะตอมประมวลผล ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น โดยเริ่มมีการนำมาใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมซึ่งผู้ใช้งานด้าน IT ของแต่ละองค์กรต้องเริ่มทำความเข้าใจกับเทคโนโลยีนี้เพื่อเตรรียมพร้อมใช้งาน 
      

    ทั้งหมดนี้ก็คือเทรนด์ด้านเทคโนโลยีที่น่าจะเกิดขึ้นในปี 2019 นี้ และมีแนวโน้มจะพัฒนาขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เห็นได้ว่าเทคโนโลยีนั้นเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้น ดังนั้น การปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากเราไม่ก้าวตามเทคโนโลยี หรือหยุดอยู่กับที่ ก็เหมือนกับเรากำลังถอยหลังอยู่นั่นเอง



    ขอขอบคุณบทความดีๆจากเว็บไซต์ www.admissionpremium.com